ไบโอสติมูแลนท์ โค้ทติ้งคืออะไร มีคุณสมบัติยังไง



ไบโอสติมูแลนท์ โค้ทติ้งคืออะไร มีคุณสมบัติยังไง
วันนี้แอดมินจะมาอธิบายให้เข้าใจกันง่ายๆ ค่ะ
Bio Stimulant Coating (ไบโอสติมูแลนท์โคทติ้ง) คือ
นวัตกรรมเทคโนโลยีการเคลือบสารกระตุ้นชีวภาพ จากประเทศแคนาดา มีการผ่านกระบวนการใน LAB ปลอดเชื้อ

คุณสมบัติที่ได้รับจาก ไบโอสติมูแลนท์โค้ทติ้งคือ
✔️การทำให้ระบบรากแข็งแรง สมบูรณ์
✔️การทำให้รากดูดซึมธาตุอาหารได้เร็วขึ้น ซึ่งเรียกว่า Mineral Uptake)
✔️การสร้างอินทรีย์วัตถุและธาตุอาหารในดินอย่างต่อเนื่อง
✔️การปรับโครงสร้างดิน และควบคุมความสมดุลของค่า pH ในดิน
✔️การสร้างฮอร์โมนให้ต้นพืช
✔️สร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันการเกิดโรค ต่อต้านโรคแมลงและเชื้อรา
✔️มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในดิน
✔️การถ่ายธาตุอาหารระหว่างดินและพืช เพิ่มคุณภาพผลผลิต

เห็นมั๊ยคะว่าปุ๋ยคอมปาวด์มีดีเยอะขนาดนี้ ไม่ทดลองใช้ไม่ได้นะคะ อย่ามัวแต่กลัว ไม่กล้าลอง ใช้ก่อนผลผลิตดีก่อน ใช้ทีหลัง ผลผลิต ไม่ดีเท่าเพื่อนจะหาว่าแอดมินไม่บอกไม่ได้นะคะ

สารปรับสภาพดินดวงตะวันเพชรมีดีอย่างไร? ทำไมต้องใช้?





สารปรับสภาพดินดวงตะวันเพชร
มีดีอย่างไร? ทำไมต้องใช้?
แอดมินไม่ขอพูดเยอะ ขออนุญาติเริ่มอธิบายเลยนะค
ในสารปรับสภาพดินดวงตะวันเพชรทุกสูตรทุกกระสอบนั้น
มี ไนโตรเจน N : ช่วยเร่งต้นใหญ่ ใบเขียวเข้ม แตกฉัตรดี
มี ฟอสฟอรัส P : ช่วยแตกราก สะสมอาหารดี
มี โพแทสเซียม K : ช่วยการสังเคราะห์อาหาร สะสมแป้งและน้ำตาล
มี แคลเซียม Ca : เพิ่มความแข็งแรงของเซลล์ ต้านทานโรคและแมลง
มี แมกนีเซียม Mg : ช่วยกระบวนการสังเคราะห์แสง
มี กำมะถัน S : ช่วยสร้างโปรตีน เสริมการสังเคราะห์แสง 
มี สังกะสี Zn : ช่วยการสังเคราะห์แสงและสร้างคลอโรฟิลล์
มี ฮิวมัส Humus : ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ปรับโครงสร้างดิน 
มี กรดอะมิโน Amino Acid : ช่วยให้ดูดซับและลําเลียงธาตุอาหาร
มี A2Z เป็นแร่ธาตุพิเศษนําเข้าจากอเมริกา มีธาตุอาหารที่จําเป็นและไม่พบในปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์ทั่วไปมากกว่า 67 ชนิด

โดยสารปรับสภาพดินดวงตะวันเพชรนั้นมีทั้งหมด 4 สูตรในแต่ละ จะสูตรมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน โดยแต่ละสูตรมีคุณสมบัติดังนี้ค่ะ

#สูตรยางพารา สำหรับยางพาราโดยเฉพาะ
✔︎ บำรุงยางเล็กให้สมบูรณ์
✔︎ แตกฉัตรดี ใบเขียวเข้ม
✔︎ ยางเปลือกนิ่ม กรีดง่าย
✔︎ ได้น้ำยางมาก เปอร์เซ็นต์น้ำยางสูง

#สูตรบำรุงผล-ปาล์มน้ำมัน
(ขยายผลและเร่งทลายปาล์ม)
✔︎ กระตุ้นตาดอก ออกผลดก
✔︎ สีสวย ผลใหญ่ ได้คุณภาพ
✔︎ ปาล์มทลายดก ทลายใหญ่
✔︎ เปอร์เซ็นต์น้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้น

#สูตรบำรุงต้นใบ / นาข้าว พืชไร่
(เร่งราก เร่งต้น ฟื้นต้น)
✔︎ เร่งการแตกราก แตกกอในนาข้าว
✔︎ กอใหญ่ ใบเขียวตั้ง ลำต้นแข็งแรง
✔︎ เร่งการเจริญเติบโตของพืช
✔︎ ฟื้นฟูต้นหลังเก็บเกี่ยว

#สูตรระเบิดราก
(ระเบิดราก ระเบิดดิน)
✔︎ บำรุงดิน เร่งการแตกราก
✔︎ เร่งการเจริญเติบโต
✔︎ ขยายหัว น้ำหนักดี มีเปอร์เซ็นต์แป้งสูง
✔︎ ปรับค่าความเป็นกรด-ด่างในดิน

—————————————————
สอบถามเพิ่มเติม
โทร. 091-5769281,02-7498597
Inbox : m.me/dtwpgroup
Line ID : @dtwp
สอบถามทันทีกด >>> http://line.me/ti/p/%40dtwp
ดูข้อมูลสินค้าเพิ่มเติม : www.dtwp.co.th
ดูผลตอบรับในการใช้สูตรต่างๆ : https://dtwpproduct.blogspot.com/
#ดวงตะวันเพชร #ปุ๋ยดวงตะวันเพชร

เทคนิคการเพิ่มค่า CCS ในอ้อยหรือการเพิ่มปริมาณน้ำตาลในอ้อย

เทคนิคการเพิ่มค่า CCS ในอ้อยหรือการเพิ่มปริมาณน้ำตาลในอ้อย จากแปลงอ้อย ของคุณประสพ โตจำนงค์ และ คุณสาธิต โตจำนงค์ ผู้ใช้ปุ๋ยดวงตะวันเพชร .สิงห์บุรี ซึ่งเมื่อก่อนได้ค่าความหวาน 8-10 CCS เมื่อเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยดวงตะวันเพชรจึงได้ค่าเพิ่มขึ้นเป็น 11.26 CCSโดยเทคนิคการใส่ปุ๋ยมีดังนี้คือ
1.ใช้สูตร 16-20-0 เป็นปุ๋ยรองพื้น 
2. สูตร 46-0-0 ผสม 16-20-0 ใส่หลังพรวนดิน เมื่ออ้อยโตประมาณ 1 ศอก เพื่อใช้เร่งรากและต้นอ้อย
3.
สูตร 20-8-20 ใส่เมื่ออ้อยมีอายุประมาณ 4-5 เดือน เพื่อเร่งโต และเพื่มความหวาน
4.
สูตร 13-7-35 ใส่เมื่ออ้อยมีอายุ 8 เดือน เพื่อความหวาน ซึ่งผลผลิตที่ได้โดยรวมคือ
#
อ้อยมีลำต้นที่สมบูรณ์ #โตเร็ว #ลำใหญ่ #ใบเขียวเข้ม #ค่าCCSสูง
อัตราการใช้
สูตร 16-20-0 อัตราส่วน ไร่ละ 1 กระสอบ
สูตร 46-0-0 ผสม 16-20-0 อัตราส่วน 1:1
สูตร 20-8-20 อัตราส่วน ไร่ละ 1 กระสอบ
สูตร 13-7-35 อัตราส่วน 2 ไร่ 1 กระสอบ
----------------------------------------------

สอบถามเพิ่มเติมโทร
โทร. 091-5769281,02-7498597
Line ID : @dtwp
สอบถามทันทีกด >>> http://line.me/ti/p/%40dtwp
ดูข้อมูลสินค้าเพิ่มเติม : www.dtwp.co.th


เดินตามรอยเท้าพ่อ ด้วยเศรษฐกิจพอเพียง (ป้าอาสา-ลุงประมวล)

เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทาง การดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดยาวนานกว่า 25 ปีตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลัง ได้ทรงเน้นย้ำ แนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถ ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลง หลักการสำคัญ 5 ประการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคือ 1.ความพอประมาณ คือ ความพอดีๆ ไม่น้อยเกินไป ไม่มากเกินไป ไม่เติบโต เร็วเกินไป ไม่ช้าเกินไปและไม่สุดโต่ง 2.ความมีเหตุผล คือ ทุกอย่างต้องมีที่มาที่ไป อธิบายได้ การส่งเสริมกัน ในทางที่ดี สอดคล้องกับหลักการพุทธธรรม คือหลักปฏิจจสมุปบาทและ อิทัปปัจจยตา ที่กล่าวถึงความเป็นเหตุเป็นผลเพราะมีสิ่งนี้ทำให้เกิดสิ่งนี้ ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย 3.ความมีภูมิคุ้มกันที่ดี จะต้องปกป้องคุ้มครองไม่ให้เกิดความเสี่ยงที่ไม่ควร จะเป็น เช่น เกิดความเสี่ยงเพราะมีความโลภมากเกินไป หรือเสี่ยงเพราะ ปล่อยกู้มากเกินไป หรือกักตุนสินค้าเพื่อเก็งกำไรมากเกินไป จนก่อให้ เกิดความเสี่ยง 4.ความรอบรู้ ต้องมีความรอบคอบ มีการใช้ความรู้ใช้วิชาการด้วยความระมัดระวัง ไม่บุ่มบ่าม มีการจัดการองค์ความรู้ที่ดี ดำเนินการอย่าง รอบคอบถ้วนทั่ว รอบด้านครบทุกมิติ 5.คุณธรรมความดี เป็นพื้นฐานของความมั่นคง หากเปรียบเป็นต้นไม้ใหญ่ ถือเป็นรากแก้วและรากแขนงที่มีขนาดและคุณภาพเพียงพอ โดยมี เศรษฐกิจเป็นรากฝอยคอยหล่อเลี้ยง ที่ประกอบด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มานะอดทนและพากเพียร


ด้วยจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของ ครอบครัวสุทาธรรม นั่นคือ ลุงอาสา - ป้ามวล (นายอาสา และ นางประมวล สุทาธรรมเกษตรกรจังหวัดอุทัยธานีที่ประกอบอาชีพทำนา จากไร่นาไม่ถึง 5 ไร่ ที่ลุงอาสาและป้ามวลได้ร่วมกันทำตั้งแต่ หว่านกล้า ปักดำ จนถึง เก็บเกี่ยวเอง ด้วยความขยันและตั้งใจลุงอาสาและป้ามวลก็คัดพันธุ์ข้าวปลูกเองหลัง จากเกี่ยวข้าวเสร็จเพื่อใช้เป็นพันธุ์ข้าวในการทำนาครั้งต่อไป เพราะลุงอาสากล่าวว่า “ลุงชอบคัดเมล็ดข้าวเอง เพราะลุงเป็นคนปลูกเอง และ ลุงไม่ต้องเสียตังไปซื้อเขา อันไหนที่ลุงทำได้ ลุงจะทำเองทั้งหมด เพราะมันคืออาชีพของลุง” จากการคัดเมล็ดพันธุ์ข้าวเองของลุงอาสาและป้ามวลทำให้ชาวบ้านใกล้เคียง เห็นและสนใจมาขอซื้อเพราะลุงและป้าคัดพันธุ์ข้าวดีและมีคุณภาพกว่าไปซื้อเขา นั่นคือ จุดเริ่มต้นของการขายพันธุ์ข้าวปลูกของลุงอาสาและป้ามวล เพราะการคัดพันธุ์ ข้าวปลูกของลุงและป้านั้นไม่ว่าจะขายหรือทำเองก็เหมือนกันเพราะลุุงและป้าทำด้วย ใจรักและซื่อสัตย์ต่อคนที่มาซื้อ ทำให้ลุงอาสาและป้ามวล เป็นที่รู้จักในจังหวัดอุทัยธานีและจังหวัดใกล้เคียงในการคัดพันธุ์ข้าวปลูกที่มีคุณภาพจนถึงปัจจุบัน ด้วยอาชีพที่รักและการใช้ชีวิตแบบพอเพียงของลุงอาสาและป้ามวล ทำให้ใช้ ชีวิตอย่างมีความสุข โดยป้ามวลกล่าวว่า “ป้าชอบทำนา ป้ารักอาชีพนี้ ถ้าให้ป้า ไปทำอย่างอื่นที่ได้เงินมากกว่านี้ ป้าก็ไม่ไป เพราะป้ามีความสุขที่เห็นข้าวเขียวงาม ออกรวงเหลืองสวยเต็มท้องทุ่งนา ป้าเห็นแล้วป้ามีความสุข เพราะตอนนี้ป้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง รัชกาลที่ 9 ทำให้ป้า ระลึกถึงท่านอยู่เสมอ เป็นบุญของป้าที่ได้เกิดในรัชกาลที่ 9 และได้อยู่ในประเทศไทย” ด้วยการใช้ชีวิตแบบพอเพียงของลุงอาสา - ป้ามวล ทำให้ชีวิตพบแต่ความสุข ในนาม บริษัท ดวงตะวันเพชร จำกัดขอขอบพระคุณลุงอาสา - ป้ามวล เป็นอย่าสูงที่ได้ให้ข้อคิดในการดำเนินชีวิตด้วยความพอเพียงและมีความสุขในทุกๆ อย่างที่ได้ทำ

อาหารสูตรเด็ด สำหรับต้นยางพารา


วันนี้แอดมินเอาความลับทีเด็ด
สูตรยางพารา ดวงตะวันเพชรมาฝาก มีใครอยากรู้บ้างมั๊ยคะว่ามัน #ดีอย่างไร #ทำไมถึงดี วันนี้แอดมินมีคำตอบมาฝากชาวแฟนเพจกันค่ะ
สารปรับสภาพดิน สูตรยางพารา ดวงตะวันเพชร เป็นปุ๋ยสูตรพิเศษที่ทำขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับต้นยางพาราโดยเฉพาะ ซึ่งสามารถใช้ได้กับยางที่มีอายุ 1 ปีแรกจนไปถึงต้นแก่ๆเลยทีเดียว ซึ่งภายในเนื้อสารปรับฯ แต่ละเม็ดจะมีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุ หลายชนิดซึ่งแอดมินจะขอยกตัวอย่างดังนี้นะคะ
1 Nano-zeolite (นาโน ซีโอไลต์)
คือแร่ธาตุที่ช่วยปรับโครงสร้างดิน ช่วยดูดซับปุ๋ยให้พืชใช้ได้อย่างต่อเนื่อง ลดการสูญเสียปุ๋ย
2 A2Z (เอทูแซด)
แร่หินภูเขาไฟนำเข้าจากต่างประเทศ เติมเต็มธาตุอาหารกว่า 60 ชนิด
เสริมการเจริญของพืช
3 Organic Humus (ออร์แกนิค ฮิวมัส)
อินทรีย์วัตถุคุณภาพสูง ช่วยปรับโครงสร้างดิน
เต็มไปด้วยธาตุอาหาร ที่เป็นประโยชน์กับพืช
4 สารอินทรีย์คุณภาพสูง
ที่เต็มไปดัวยธาตุอาหารและอินทรีย์วัตถุ
ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช
และปรับโครงสร้างดิน

นอกจากนี้แอดมินยังทำภาพมาให้เพื่อนๆ ได้ทำความเข้าใจกันอย่างง่ายๆ ว่าใช้ ปุ๋ยสูตรยางพาราของเราแล้วเป็นอย่างไร น้ำยางเยอะแค่ไหน ใบและต้นสมบูรณ์เพราะอะไร ดูกันชัดๆได้ที่ต้นตัวอย่างในภาพนี่เลยค่ะ
ขอบคุณภาพต้นยางสวยๆจากสวนยาง พ่อทิน เกษตรกรสวนยางพารา
ในพื้นที่ จ.พะเยาะ

-------------------------------
สอบถามเพิ่มเติมโทร
โทร. 091-5769281,02-7498597
Line ID : @dtwp
สอบถามทันทีกด >>> http://line.me/ti/p/%40dtwp
ดูข้อมูลสินค้าเพิ่มเติม :http://www.dtwp.co.th

วิธีกำจัด ด้วงหนวดยาว เจาะทุเรียน





กำจัดด้วงหนวดยาวเจาะต้นทุเรียน ง่ายๆด้วยตาข่ายดักปลา

การกำจัดด้วงหนวดยาวตัวการร้ายในการทำลายต้นทุเรียน ด้วยวิธีการวางไข่ ให้ตัวหนอนได้เจริญเติบโต
กัดกินเนื้อเยื่อภายในต้นทุเรียนผลคือระบบท่อน้ำ-ท่ออาหารทุเรียนถูกทำลาย ต้นทุเรียนจึงมีอาการทรุดโทรมและตายในที่สุด เพราะทางเดินอาหารและน้ำถูกตัดขาด อีกทั้งยังยากต่อการกำจัดในช่วงที่หนอนเข้าทำลายอยู่ภายในลำต้น ซึ่งวิธีการที่ดีที่สุดในการตัดวงจรชีวิตของด้วงหนวดยาวก็คือ “ การดักจับตัวเต็มวัย”
ที่ผ่านมาได้เกิดการระบาดของด้วงหนวดยาวเจาะลำต้นทุเรียนในหลายๆจังหวัด ทำให้ต้นทุเรียนทรุดโทรม ใบร่วง
กิ่งแห้ง และตายในที่สุด สำหรับหนอนด้วงที่พบว่าเข้าทำลายต้นทุเรียนนั้นมีหลายระยะ ส่วนใหญ่อยู่ในระยะตัวหนอน
โดยตัวด้วงหนวดยาวจะมีลำตัวเป็นปล้องๆ สีขาวขุ่น ส่วนหัวค่อนข้างโตกว่าส่วนท้องและมีเขี้ยวสีดำขนาดใหญ่ ทำให้ตัวหนอนสามารถกัดกินและเจาะเข้าไปในเนื้อไม้ได้ ดังนั้นขอให้เกษตรกรชาวสวนทุเรียนสำรวจที่ต้นทุเรียน
ตั้งแต่บริเวณโคนต้น ขึ้นไปตลอดจนตามคบและกิ่งแขนงต่างๆ ถ้าพบขุยไม้ละเอียดบริเวณส่วนต่างๆ ของต้นแสดงว่าหนอนได้เจาะเข้าไปในต้นทุเรียนแล้ว

วิธีป้องกัน
1. การกำจัดไข่ : การกำจัดไข่ ทำได้โดยการสำรวจหารอยแผลของการวางไข่บริเวณเปลือกรอบๆต้น
ถ้าพบให้เก็บมาทำลาย
2. การกำจัดตัวหนอน : สำรวจหาร่องรอยการทำลายของด้วงหนวดยาว
ถ้าสำรวจพบขุยไม้ละเอียดตามส่วนต่างๆ ของต้นทุเรียนให้ใช้มีดแคะหาตัวหนอนที่เข้าไปทำลาย และถ้าพบให้จับมาทำลาย
3. การกำจัดตัวเต็มวัย : การจำกัดตัวเต็มวัยโดยใช้ภูมิปัญญาในการแก้ไขปัญหา โดยการใช้ตาข่ายดักปลาเก่า
ที่เลิกใช้แล้วมาพันไว้กับต้นทุเรียนรอบๆ ต้น จากส่วนโคนต้นถึงกลางลำต้น ซึ่งเป็นส่วนที่ด้วงหนวดยาวชอบเจาะทำลาย
ซึ่งเมื่อด้วงบินมาจับต้นทุเรียน ขาของด้วงจะสัมผัสและพันติดกับตาข่าย เมื่อด้วงพยายามดิ้นตาข่ายจะยิ่งพันแน่นขึ้น จนด้วงไม่สามารถจะหลุดออกมาได้และแห้งตายในที่สุด
4. ลดแหล่งแพร่พันธุ์ : ตัดและเผาทำลายต้นทุเรียนที่ถูกหนอนทำลายจนไม่สามารถให้ผลผลิตได้
เพื่อลดประชากรของแมลงและแหล่งแพร่กระจาย

Cr : คุณฟอง วรรณสิทธิ์ เกษตรกรสวนทุเรียน บ้านเลขที่ 173 หมู่ที่ 10 ตำบลพราน อำเภอ ขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ / เว็บรักบ้านเกิด

เกษตร 4.0 คืออะไร



เกษตรยุค 4.0 คืออะไร ?

ก่อนที่จะกล่าวถึงยุค 4.0 เรามาทำความรู้จักกับการเกษตรในยุค 1.0 - 3.0
กันก่อนดีกว่าว่ามีวิวัฒนาการอะไรบ้างในยุคที่ผ่านมา
ยุค 1.0 ยุคนี้จะเน้นการเกษตรเป็นหลัก โดยจะมีการผลิตและขายพืชไร่ พืชสวน
ยุค 2.0 เน้นอุตสาหกรรมเบา หรืออุตสาหกรรมที่ทำการผลิต ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหนักเบา ใช้แรงงานและวัตุดิบน้อยเป็นต้น
ยุคที่ 3.0 เน้นอุตสาหกรรมหนัก หรืออุตสาหกรรมที่ทำการผลิต ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหนัก ใช้แรงงานและวัตุดิบเป็นจำนวนมาก เป็นต้น ที่สำคัญคือการส่งออก
และก็มาถึงยุคปัจจุบันนั้นก็คือยุค 4.0 ซึ่งใน
ยุค 4.0 จะเน้นเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม Value-Based Economy (เศรษฐกิจตามมูลค่า)
ซึ่งในยุค 4.0 ประเทศของเราจะเน้น 4 กลุ่มดังนี้
1 กลุ่มอาหาร , เกษตร , เทคโนโลยีชีวภาพ
2 กลุ่มสาธารณสุข , เทคโนโลยีทางการแพทย์
3 กลุ่มเครื่องมือที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาใหม่ โดยใช้อิเล็กทรอนิกส์ควบคุมแทนคน
4 กลุ่มดิจิตอล เทคโนโลยีที่สามารถสั่งและบังคับโดยการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต
5 กลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรมและบริการ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
www.drborworn.com
www.thairath.co.th
* คลิปจาก youtube.com
http://www.organicfarmthailand.com/

10 ผักสดที่ไม่ควรทานดิบ



วันนี้แอดมินนำสาระเพื่อสุขภาพมาฝากกันค่ะ
เรื่องใกล้ตัวที่บางท่านอาจจะยังไม่รู้
10 ผัดสดที่ไม่ควรทานดิบ....เพราะทำให้เสียสุขภาพ
ผักที่เรานำมาใช้ในการประกอบอาหารนั้นมีหลากหลายชนิด ซึ่งวิธีทานของแต่ละท่านก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งวันนี้แอดมินจะมา
พูดถึงผักบางชนิดที่ไม่ควรทานดิบ เพราะอาจจะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ มีดังนี้คือ

1. กะหล่ำปลี
ในกะหล่ำปลีดิบมีสารอ็อกซาเลต (Oxalate) เมื่อทานเข้าไปจะไปจับแคลเซียมที่กรวยไต ที่อาจก่อตัวกันจนเสี่ยงต่อโรคนิ่วในไตได้ อีกทั้งยังมีสารกอยโตรเจน (Goitrogen) มีผลให้ร่างกายดูดซึมไอโอดีนได้น้อย จนอาจก่อให้เกิดโรคคอหอยพอกได้ แต่กอยโตรเจนจะสลายได้รวดเร็วเมื่อโดนความร้อน ดังนั้นจึงควรทานกะหล่ำปลีที่ปรุงสุกแล้ว

2. บรอกโคลี่
ทานบรอกโคลี่มากๆ ทำให้ท้องอึด และในบรอกโคลี่ดิบยังมีฮอร์โมนบางชนิดที่เป็นตัวกระตุ้นความเสี่ยงเป็นโรคไทรอยด์ แต่เจ้าฮอร์โมนที่ว่าจะถูกย่อยสลายไปเมื่อโดนความร้อน

3. ดอกกะหล่ำ
ดอกกะหล่ำมีน้ำตาลชนิดเดียวกันกับกะหล่ำปลี ซึ่งคนที่มีปัญหาในระบบย่อยอาหารอาจย่อยน้ำตาลชนิดนี้ไม่ได้ และอาจนำไปสู่อาการท้องอืด แน่นท้อง ดังนั้นไม่ควรกินดอกกะหล่ำดิบมากๆ

4. ถั่วงอก
ข้อควรระวังของถั่วงอกอยู่ที่ถั่วงอกที่ซื้อมาอาจมีสารปนเปื้อนของสารโซเดียมซัลไฟต์ ซึ่งเป็นสารฟอกขาวที่ผู้ค้ามักนำมากฟอกสีให้ขาวดูน่ารับประทาน และรักษาความสด ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และถั่วงอกดิบมีไฟเตตที่จะดูดซึมแร่ธาตุบางชนิดในร่างกาย การกินถั่วงอกดิบต่อมื้อหรือต่อวันในปริมาณมากๆ เป็นกิโลกรัม ถือว่าเป็นอันตราย ทางที่ดีควรล้างให้สะอาดและปรุงด้วยความร้อนให้สุกก่อนรับประทาน

5. ถั่วฝักยาว
ถั่วฝักยาวดิบจะมีปริมาณไกลโคโปรตีนและเลคตินค่อนข้างสูง ซึ่งสารเหล่านี้มีส่วนชักนำให้คลื่นไส้ อาเจียนได้

6. ถั่ว
ถั่ว ไม่ว่าจะเป็นถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วเขียว หรืองา มีไฟเตต ลักษณะคล้ายฟองน้ำ มันจะไปจับหรือดูดซับธาตุแคลเซียม
เหล็ก สังกะสี และฟอสฟอรัส หากทานมากๆ ควรนำไปแช่น้ำก่อนสัก 3 ชั่วโมง จะทำให้ไฟเตตและแป้งในถั่วคลายตัวลง
พอนำไปปรุงจะทำให้สุกเร็วมากขึ้น ไม่ไปหมักต่อในท้องจนทำให้ท้องอึด

7. หน่อไม้
ในหน่อไม้สด มี Cyanogenic glycoside ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นไซยานาด์ อันมีสารพิษต่อร่างกาย และหากร่างกายได้รับสารตัวนี้ในปริมาณมาก มันจะเข้าไปจับกับฮีโมโกลบิน ทำให้เกิดการขาดออกซิเจน ทุรนทุรายเหมดสติ และอาจจะเสียชีวิตได้

8. มันสำปะหลัง
มันสำปะหลังสด มี Cyanogenic glycoside ด้วยเช่นเดียวกับหน่อไม้ ไม่ควรรับประทานมันสำปะหลังดิบในส่วนหัว ราก ใบ อาจเกิดอาการเวียนศรีษะ ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หรืออุจจาระร่วง หรือมีพิษทำให้ถึงตายได้ โดยจะมีพิษไปขัดขวางการทำงานของระบบหัวใจและทางเดินโลหิต ทำให้ออกซิเจนเข้าสู่เซลล์สมองน้อยลง

9. ผักโขม
ผักโขมดิบๆ มีกรดอ็อกซาลิก (Oxalic) เป็นตัวขัดขวางไม่ให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กและแคลเซียม ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุของโรคนิ่วในไตอีกทางหนึ่งด้วย และมีฤทธิ์ทำให้ลำไส้ระคายเคือง แต่เมื่อโดนความร้อนสารนั้นก็จะสลายไป

10. เห็ด
เห็ดสดมีเนื้อสีขาวทั่วไปมักจะตรวจพบสารอะการิทีน (Agaritine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง แต่จะสลายไปเมื่อเห็ดเหล่านั้นผ่านการปรุงสุก (เห็ดทั่วไปย่อยยาก ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ)

Cr : ไข่เจียว.com



บทบาทของธาตุอาหารพืช



ดินดี หรือดินที่มีผลิตภาพสูง หมายถึง ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง มีสมบัติทางเคมี ฟิสิกส์และชีวภาพดี จึงเป็นดินที่สามารถให้ธาตุอาหารต่างๆ แก่พืชอย่างเพียงพอประกอบกับดินมีโครงสร้างดีจึงสามารถอุ้มน้ำได้ดี และมีการถ่ายเทอากาศดี รวมทั้งไม่มีชั้นดินดานหรือสารพิษอันเป็นอุปสรรคในการเจริญเติบโตของพืช
และธาตุอาหารคือธาตุที่จำเป็นต่อพืชและพืชต้องใช้ธาตุนั้นเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ ซึ่งหมายความว่า 1) หากพืชขาดธาตุนั้นอย่างรุนแรงมาก จะไม่สามารถเจริญเติบโตจนครบวัฏจักรชีวิต 2) ถ้าขาดแคลนธาตุนั้นอย่างรุนแรงพอประมาณพืชจะมีอาการผิดปกติ ซึ่งเป็นอาการเฉพาะ และสามารถแก้ไขอาการดังกล่าวได้โดยให้ธาตุนั้นในรูปของปุ๋ย แต่ไม่อาจแก้ไขอาการผิดปกตินี้ด้วยการให้ธาตุอื่น
3) ความต้องการธาตุนั้นๆมีความจำเพาะเจาะจงมาก เนื่องจากแต่ละธาตุมีบทบาทสำคัญโดยตรงในเมแทบอลิซึมของพืช 

ปุ๋ยสั่งตัดคืออะไร



ปุ๋ยสั่งตัด
เป็นเทคโนโลยีการจัดการธาตุอาหารพืชเฉพาะพื้นที่ ช่วยให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยถูกชนิดและถูกปริมาณ ประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยจึงสูงขึ้น คำแนะนำ ปุ๋ยสั่งตัด ได้จากการนำปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต และการให้ผลผลิตของพืชได้แก่ พันธุ์พืช แสงแดด อุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณน้ำฝน ชุดดิน ปริมาณ N P K ในดินขณะนั้น ฯลฯ มาพิจารณาร่วมกัน โดยใช้แบบจำลองการปลูกพืช และโปรแกรมสนับสนุนการตัดสินใจมาคำนวณโดยคอมพิวเตอร์ เพื่อคาดคะเนคำแนะนำปุ๋ย N P K ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด และมีการทดสอบในภาคสนามเพื่อให้ได้คำแนะนำการใช้ปุ๋ยที่มีความแม่นยำ และสอดคล้องกับความต้องการของพืช
#คำแนะนำสำหรับวิธีการใช้ปุ๋ยสั่งตัด
ขั้นตอนที่ 1
ตรวจสอบข้อมูลชุดตรวจดิน
ขั้นตอนที่ 2
วิเคราะห์ N P K ในดิน
ขั้นตอนที่ 3
ใช้ปุ๋ยตามคำแนะนำ ปุ๋ยสั่งตัดหรือโปรแกรม Simrice ได้ที่ www.ssnm.info